วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นกแก้วแอฟริกันเกรย์ (African Grey)

      


            นกแก้วแอฟริกันเกรย์ (African Grey) หรือแจ้านกแก้วตัวสีเทานั้นเอง  จัดว่าเป็นนกแก้วที่มีขนาดกลาง เมื่อเทียบกันกับนกแก้วสายพันธ์ใหญ่ๆ เป็นนกที่มีอายุยืน ซึ่งอายุจะอยู่ที่ราวๆ 50 - 60 ปี (หากไม่มีโรค)

            ประกอบด้วย 2 สายพันธุ์
นกแก้วแอฟริกันเกรย์มีอยู่ 2 ชนิดคือ 
 1. Congo African Grey Parrot
 2. Timneh African Grey Parrot 

            ลักษณะของ  Congo African Grey Parrot
      Congo African Grey Parrot จะมีลำตัวใหญ่กว่า Timneh African Grey Parrot อยู่ประมาณ 33 เซนติเมตร ที่ปลายของหางจะมีสีแดง นกแก้วชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นนกแก้วที่มีความฉลาดมาก มีความสามารถในการเลียนเสียงได้มาก (กล่าวกันว่าสามารถเลียนเสียงได้มากถึง 212 เสียง ตลอดชั่วชีวิต) มีนิสัยร่าเริง ชอบออกกำลังกาย และมีร่างกายที่แข็งแรง

           ลักษณะของ  Timneh African Grey Parrot
       Timneh African Grey Parrot เป็นนกแก้วตัวเล็ก (แต่ก็ไม่เล็กมากนัก เพียงแค่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับ Congo African Grey Parrot) ลำตัวมีสีเทาทั้งตัว ที่หางมีสีดำเข้ม นกแก้วชนิดนี้มีความจำที่ดีเป็นเลิศ สามารถจำเสียงและเปร่งเสียงที่จำหรือได้ยินได้ในทันที และเมื่อกล่าวถึงความจำของนกแก้วชนิดนี้แล้ว สามารถจำเสียงที่ได้ยินบ่อยๆ (เสียงที่คนอยากให้จำ) ได้มากถึง 200 กว่าเสียง และเมื่อจำแล้วก็จะจำไปตลอดชั่วชีวิต

           พฤติกรรมของนก
        เป็นนกที่มีความฉลาด ดังนั้นมักจะระแวงสิ่งต่างๆที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร สถานที่ คนแปลกหน้าสามารถเล่นด้วยได้ แต่นกจะไม่เล่นกับคนแปลกหน้า จะอยู่กับเจ้าของที่เลี้ยงดูมาเป็นหลัก และนอกจากนี้ นกยังสามารถเลียนแบบท่าทางต่างๆได้ด้วย เช่นการเต้นแบบใช้คอ ใช้ปีกเป็นแขน เป็นต้น
            ข้อแนะนำ
        นกชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการเลี้ยงเป็นเวลานานๆ และมีเวลาว่างให้กับนกพอสมควร เพราะนกจะชอบอยู่กับคน หากไม่มีกิจกรรมระหว่างคนเลี้ยงกับนกเป็นเวลานาน นกจะเกิดอาการเหงา และ ซึมเศร้า

นกฟินซ์ (Goudian Finch)


         นกฟินซ์ (Gouldian Finch) ถิ่นกำเนิดในทวีปออสเตรเลีย ทางตอนเหนือของทวีป เป็นนกพื้นเมือง หากินในทุ่งหญ้า สภาพอากาศร้อน ในตอนกลางวัน อุณหภูมิระหว่าง 15 – 40 องศาเซนเซียส อยู่รวมกันเป็นฝูง ต่อมาได้แพร่หลายไปในทวีปยุโรป และกระจายไปทั่วโลก อย่างรวดเร็ว เนื่องจากสีสัน ความสวยงาม ที่โดดเด่นในตัวเอง
การแยกเพศลูกนกที่ยังไม่เปลี่ยนสีขน หรือนกที่มีอายุ ประมาณ 2 – 3 เดือนนั้น สามารถสังเกตุได้ที่สรีระ เพศผู้รูปร่างจะเรียวยาว และเริ่มโก่งคอผิวปากเป็นจังหวะ ส่วนเพศเมียนั้นรูปร่างจะออกไปทางป้อมๆและตัวเมียจะไม่แสดงอาการโก่งคอผิว ปาก ส่วนนกที่มีอายุมากตั้งแต่ 6 – 7 เดือนก็สามารถดูเพศได้ง่ายขึ้นจากสีขน เพศผู้จะมีสีขนที่มีสีสรรเข้มกว่าเพศเมีย

อาหาร
          อาหาร ของนกเจ็ดสี ส่วนใหญ่จะเป็นเมล็ดพืชขนาดเล็กมีหลายชนิด เช่น มิลเล็ต ข้าวไรน์ ข้าวฟ่างแดง – ดำ เป็นต้น อาหารที่ชอบมากของฟินช์เจ็ดสีก็คือ มิลเล็ตสเปรย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นช่อยาว ผู้เลี้ยงควรนำไปแขวนไว้ภายในกรง เพื่อให้นกได้แทะกินอยู่เสมอ อัตราส่วนของอาหารที่จะผสมให้กับนกกินควรประกอบไปด้วย มิลเล็ต ข้าวไรน์ ข้าวฟ่างแดง ดำ ไนเจอร์(ให้โปรตีน) ผสมในอัตราส่วน 2 : 1 : 1 : 1 : 0.50 นอก จากอาหารหลักที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อาหารเสริมก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนกเจ็ดสี เพราะนกที่เราเลี้ยงไม่สามารถหากินเองได้เหมือนนกที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น กระดองปลาหมึก เปลือกไข่ ดินดำ อาหารไข่ ข้าวโพดปาดผิว ผักกาดหอม เป็นต้น
น้ำดื่ม ควรเปลี่ยนให้นกทุกวัน


การผสมพันธุ์

           นก เจ็ดสีสามารถที่จะผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่ อายุ 8 เดือน แต่การให้ผลผลิตอาจไม่สำเร็จเท่าที่ควรเพราะยังเป็นนกหนุ่มสาว ไข่อาจมีเชื้อไม่ครบทุกฟอง จำนวนไข่ต่อครอกไม่มาก การกกไข่ไม่สม่ำเสมอ แต่เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายพร้อมมากกว่านี้ การให้ผลผลิตก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ก็ไม่แน่นอนบางคู่อาจให้ผลผลิตดีตั้งแต่หนุ่มสาวก็ได้ นกที่โตพร้อมผสมสังเกตุได้ว่าขนจะมันเงา สีสันสดใส ปลายปากจะมีสีเข้ม
การ เข้าคู่หากทั้งคู่ไม่เข้ากันเมื่อนำนกทั้งคู่แยกเข้ากรงผสม จะสังเกตุได้ว่านกทั้งคู่จะจิกกัน ไม่ยืนใกล้กัน จะเกาะคอนคนละมุมเลยก็ว่าได้ ส่วนนกที่เข้ากันนั้นตัวผู้จะโก่งคอร้องจีบ กระโดดไปมา ข้างๆตัวเมีย ถ้าตัวเมียยอมรับก็จะยืนเชิดอกให้ ไม่จิกไล่ตัวผู้ จากนั้นทั้งคู่จะเริ่มสนใจกล่องไข่ จะมีอาการชะโงกหัวมองทางเข้ากล่องไข่มากขึ้น จากนั้นตัวผู้จะเริ่มเข้าไปจัดรังเพื่อเตรียมให้ตัวเมียวางไข่

          เมื่อ เราสังเกตว่าตัวผู้เริ่มหายเข้ารังเป็นเวลานานขอให้สันนิษฐานได้เลยว่าตัว เมียเริ่มวางไข่แล้ว แต่ระยะช่วงแรกนี้การกกไข่จะกกเฉพาะช่วงเช้า พอถึงช่วงเย็นอาทิตย์ตกดิน นกจะออกจากกล่องไข่ ไปจนกว่านกตัวเมียจะวางไข่จนหมด เมื่อนั้นนกถึงจะกกไข่ ทั้งวัน ทั้งคืน ในการวางไข่แต่ละครอกนั้น ตัวเมียจะวางไข่ประมาณ 4 – 8 ใบ ต่อครอก แต่ส่วนใหญ่จะเห็น 6 ใบซะส่วนมากและการวางไข่จะวางทุกวันวันละใบจนครบ สำหรับระยะเวลาในการกกไข่ให้นับตั้งแต่ นกเริ่มกกไข่ ทั้งกลางวัน และกลางคืน ไปประมาณ 14 – 15 วัน นกก็จะเริ่มฟักเป็นตัวการฟักเป็นตัวก็จะฟักเป็นชุดๆ อาจจะฟักวันละตัวบ้าง วันละ2 ตัวบ้าง ( ลูกนกแรกเกิดนั้นจะมีตุ่มเรืองแสงติดอยู่ที่บริเวณมุมปาก เนื่องจากธรรมชาตินกเจ็ดสีจะทำรังในโพรงมืด ปุ่มเรืองแสงนี้เองจะช่วยให้พ่อแม่นก สามารถนำอาหารมาป้อนให้ลูกนกได้ถูก ซึ่งเมื่อนกอายุได้ประมาณ 60 วัน ปุ่มนี้ก็จะหายไปเอง )หลังจากลูกนกฟักเป็นตัว พ่อแม่ จะนำอาหารไปเลี้ยงลูกจนโต ประมาณ 20 – 25 วัน ลูกนกก็จะลงรัง แต่ยังไม่ควรแยกลูกนกออกจากกรง ควรจะให้พ่อแม่นก ป้อนอาหาร ต่อไปจนเห็นว่าลูกนกสามารถกินเองได้ เลิกขออาหารจากพ่อแม่แล้ว จึงแยกลูกนกออก

  
ข้อแนะนำในการเริ่มเลี้ยงนกฟินซ์

          สำคัญคือจะต้องมีการป้องกันลมโกรก รวมทั้งมีที่ให้นกหลบละอองน้ำฝนด้วยข้อแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยให้การเพาะ เลี้ยงนกฟินซ์เจ็ดสีประสพความสำเร็จได้มากขึ้น

1.หากเป็นไปได้ ให้เลือกซื้อหานกที่เพาะจากฟาร์ม หรือ แหล่งเพาะขยายพันธุ์ ที่ใช้กรงเพาะเลี้ยงขนาดใหญ่ เพื่อที่จะได้นกที่มีความแข็งแรงมากกว่า และควรเป็นนกที่พ่อแม่นกเจ็ดสีเป็นผู้เพาะฟักและเลี้ยงดูลูกนกเอง แทนที่จะใช้นกกะทิญี่ปุ่นช่วยเพาะเลี้ยง เพื่อว่าลูกนกที่ได้จะมีสัญชาติญาณที่ดีกว่าในการเลี้ยงดูลูกนกในรุ่นต่อๆไป

2.ถึงแม้ถิ่นฐานดั้งเดิมของนกชนิดนี้จะอยู่ในเขตที่ค่อนข้างจะร้อน ชื้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลี้ยงดูนกชนิดนี้ในสถานที่ที่ต้องควบคุมความ ชื้นและอุณหภูมิเสมอไป เพราะอุณหภูมิในธรรมชาติก็มีขึ้นมีลงเหมือนกัน ในต่างประเทศ ผู้เพาะเลี้ยงหลายรายเล่าว่าได้เลี้ยงนกในกรงขนาดใหญ่นอกตัวบ้าน นกสามารถทนต่ออุณหภูมิที่ต่ำถึง ลบ 9 และ สูงสุดถึง 41 องศาเซลเซียส ที่สำคัญคือจะต้องมีการป้องกันลมโกรก รวมทั้งมีที่ให้นกหลบละอองน้ำฝนด้วย

3.ขนาด ของกรง ข้อนี้สำคัญมาก ถึงแม้จะสามารถเลี้ยงและขยายพันธุ์ในกรงขนาดเล็กที่เรียกกันว่า “กรงหมอน”ได้ แต่ถ้าหากหวังผลในการเพาะเลี้ยงอย่างจริงจังและยั่งยืนควรเลี้ยงในกรงที่มี ขนาดใหญ่จะดีกว่ามาก ขนาดกว้าง 0.60 ยาว 1.80 สูง 1.80 เมตร สำหรับนกหนึ่งคู่ หรือ ขนาดกว้าง 1.20 ยาว 3.60 สูง 1.80 เมตร สำหรับนก 3 – 4 คู่

เมล็ดพืช อาหารนกฟินซ์

1.ควร จัดการให้นกใหม่ ได้มีการปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในกรงใหม่อย่างระมัดระวัง ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือในฤดูร้อน หากมีความจำเป็นต้องปล่อยนกเข้ากรงในฤดูฝน หรือ ฤดูหนาว ควรเพิ่มวัสดุป้องกันลมและฝนให้มากกว่าปกติในช่วงแรกๆ

2.นกชนิด อื่นๆสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่ไปยังส่วนต่างๆของโลก แต่สำหรับนกฟิ้นซ์เจ็ดสีแล้วจะยากกว่ามาก ถึงแม้จะเกิดในกรงมาเป็นสิบรุ่นแล้วก็ตาม เมื่อถึงฤดูหนาวในประเทศที่อยู่ทางซีกโลกเหนือ ก็เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิในประเทศทางซีกโลกใต้ เป็นช่วงเวลาที่นกจะเริ่มผสมพันธุ์กัน เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม เรื่อยไปจนถึงเดือน เมษายน สำหรับบ้านเราฤดูหนาวอากาศไม่หนาวเย็นมากนัก ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ จะมีก็แถวช่วงเดือนมีนา – เมษา ซึ่งอากาศค่อนข้างจะร้อน

3.เมื่อนกตัวเมียเข้าสู่สภาพที่พร้อมที่ จะผสมพันธุ์และวางไข่ จะสังเกตุได้จากสีของจงอยปากที่มีการเปลี่ยนแปลงไป จากสีขาวนวลๆไปเป็นสีออกน้ำตาลเทาๆ

4.หากมีนกมากกว่าหนึ่งคู่ การปล่อยให้นกจับคู่หรือเลือกคู่กันเองจะมีผลดีต่อการเพาะเลี้ยงมากกว่าทำ ได้โดยใส่ห่วงขาหรือทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวนก แล้วปล่อยนกตัวเมียหนึ่งตัวและตัวผู้ 3 – 4 ตัวเข้าไปในกรง นกตัวเมียจะยอมให้นกตัวผู้ที่เลือกแล้วเพียงตัวเดียวให้เข้าใกล้เพื่อกระโดด ขึ้นๆลงๆและร้องเพลงเพื่อเกี้ยวพาราสีกัน และจะจิกหรือบินหนีจากตัวผู้อื่นๆ การจับคู่หรือเลือกคู่นี้อาจใช้ระยะเวลาตั้งแต่หนึ่งวันไปจนถึงประมาณสิบวัน จากนั้นให้แยกนกตัวผู้ตัวอื่นๆออกไปเพื่อให้นกตัวเมียตัวอื่นได้เลือกต่อไป

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

นกค๊อกคาเทล (Cockatiel)‎


ประวัติ นกค๊อกคาเทล(Cockatiel)‎ 

   ชื่อ นกค๊อกคาเทล Cockatiel ( Nymphicus hollandicus )
มีความยาว 12 นิ้ว โดยครึ่งหนึ่งของความยาว 12 นิ้วนี้เป็นความยาวหาง มีน้ำหนัก 90 กรัม หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 85-120 กรัม
แหล่งกำเนิด อยู่ประเทศออสเตรเลีย

แต่ล่ะสายพันธุ์
 - นกค๊อกคาเทลต่างจากนกอื่นๆ ในตระกูลนกแก้วหรือนกปากขอตรงที่ค๊อกคาเทลไม่มีเม็ดสีฟ้าในขน เรามักจะพบเม็ดสีในขนนกค๊อกคาเทลอยู่ 2 กลุ่ม คือ สีโทนเหลืองและส้ม

อายุโดยเฉลี่ยของนกค๊อกคาเทลอยู่ที่ 15-40 ปี ขึ้นอยู่กับพันธุ์และการดูแลที่เหมาะสมของแต่ล่ะคน

สีตา : สีดำ ใน Normal grey สีแดงเข้มถึงแดงทับทิม ใน Lutinos, Albinos, Silvers และอื่นๆ

ขนาดกรงที่เหมาะสม : อย่างน้อยควรมีขนาด 20" x 20" x 28" ความถี่ของซี่กรง 1/2 นิ้ว

ปัญหาสุขภาพที่มักจะพบบ่อย 
- โรคไขมันในตับ โรคไต นกที่ผสมพ่อแม่ลูกพี่น้อง"เลือดชิด"

อาหาร
- ส่วนใหญ่เป็นเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ นอกเหนือจากเมล็ดพืชแล้ว อาจหาอาหารเสริมจำพวกผัก ผลไม้ เช่น กล้วย มะละกอ ให้กับนกได้อีก สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงก็สามารถแยกออกเป็นชนิดต่างๆ ได้แก่

เมล็ดพืชต่างๆ
 - เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่าง มิลเล็ต ข้าวฟ่างญี่ปุ่น ข้าวเปลือกเม็ดเล็ก ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี และเมล็ดข้าวอื่นๆที่กระเทาะเปลือกแล้ว รวมทั้งเมล็ดข้าวโพด เมล็ดถั่วลิสงเป็นต้น ซึ่งเมล็ดพืชต่างๆ เหล่านี้มีขายตามร้านอาหารนก ผู้เลี้ยงสามารถหาซื้อมาเลี้ยงได้ทันที

ผลไม้ต่างๆ
 - กล้วย องุ่น ส้ม และแอปเปิล เป็นต้น อาหารที่หาง่ายที่สุดได้แก่ กล้วยน้ำว้า และนกก็ชอบมากด้วย ส่วนผลไม้รสเปรี้ยว ควรให้นกกินแต่พอประมาณ เพราะทำให้นกท้องเสียได้ค่ะ

ผักสด
 - หัวมันเทศ หัวผักกาด หัวแครอท ผักโขม อาหารจำพวกผักสดนี้ควรให้ทุกวันและควรล้างให้สะอาด สำหรับหัวพืชผักนั้นจัดว่าเป็นอาหารโปรดของนกเลยก็ว่าได้ค่ะ

กระดองปลาหมึก เปลือกหอยป่น และทราย
สำหรับกระดองปลาหมึกนั้น จำเป็นอย่างยิ่งในการเสริมสร้างความเจริญเติบโตของกระดูก ขน จงอยปาก ควรจัดวางไว้ให้นกแทะกินเล่นเป็นการให้แคลเซียมนก ส่วนทรายนั้นจะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

วิตามินเสริม
 - สำหรับใช้ผสมลงในน้ำหรืออาหาร ซึ่งในปัจจุบันมีอาหารวิตามินสำเร็จรูปออกมาจำหน่ายมากมายสามารถเลือกซื้อตามความต้องการค่อแต่ต้องดูวันผลิตดีๆนะค่ะ ถ้าซื้อของที่หมดอายุมาอาจจะกลายเป็นผลเสียต่อนกเราได้ค่ะ

น้ำดื่ม
 - น้ำดื่มควรเป็นน้ำที่สะอาด ควรเปลี่ยนให้ทุกวัน เพราะถ้านกขาดน้ำอาจทำให้เกิดอาการช็อคได้ค่ะ

1. การทำความสะอาด
 - ทำความสะอาดภาชนะใส่น้ำและอาหารของนก ตากให้แห้งก่อนนำมาใส่อาหารอีกครั้ง และทำความสะอาดพื้นกรงทุกวัน
 - ทำความสะอาดกรงให้สะอาดและทำความสะอาดของเล่นนกภายในกรงด้วยโดยประมาณอาทิตย์ล่ะครั้งได้ค่ะ
 - ทำความสะอาดกรงด้วยน้ำสบู่และล้างน้ำอีกครั้ง ก่อนนำไปตากแดดให้แห้ง (เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค) โดยทำความสะอาดประมาณเดือนล่ะครังได้ค่ะ

    ค๊อกคาเทลเป็นนกที่มีความสวยงามมากค่ะและเชื่องกับเจ้าของ เมื่อค๊อกคาเทลคุ้นเคยกับบ้านใหม่ มันจะแสดงออกให้เห็นว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักมากๆทีเดียวค่ะ เมื่อคุณเลี้ยงไปซักระยะหนึ่ง นกจะแสดงให้คุณเห็นและรู้จักตัวของมันมากขึ้น คุณอาจจะแปลกใจในวิธีการสื่อสารที่มันสามารถแสดงออกให้คุณรู้ถึงสิ่งที่มันพอใจและไม่พอใจ อะไรที่มันกลัว คอคคาเทลจะอยากเข้าใกล้คุณเรื่อยๆ เมื่อมันรู้สึกคุ้นเคยกับคุณ และต่อไปมันก็จะต้องการการดูแลเอาใจใส่จากคุณ ในไม่ช้านานคุณจะได้รับพร้อมทั้งเข้าใจวิธีการแสดงออกซึ่งความรักตามแบบของค๊อกคาเทลจ้า


    ความสามารถในการพูดและความฉลาดของค๊อกคาเทล สูงกว่านกพิราบ นกหงส์หยก รวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางประเภท
การเลี้ยงค๊อกคาเทลเป็นคู่ เหมาะสมสำหรับผู้เลี้ยงที่ต้องการดูธรรมชาติของนก ไม่มีเวลามากมายที่จะให้กับนก เพื่อที่นกจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว นกที่อยู่เป็นคู่มักไม่เรียนรู้ที่จะพูด และใกล้ชิดกันเองมากกว่าที่จะใกล้ชิดกับเจ้าของ 

ถ้าต้องการเลี้ยงเป็นคู่แล้วต้องการความใกล้ชิดจากนก ต้องเริ่มจากเลี้ยงเพียงตัวเดียวก่อน แล้วค่อยหามาเพิ่มอีกตัว เมื่อตัวแรกมีความผูกพันกับคุณแล้ว ถึงจะเป็นเวลาเหมาะสมที่จะหานกตัวที่สองมาเลี้ยง นกที่มาใหม่จะมุ่งความสนใจไปที่นกด้วยกันเอง และมันสามารถเรียนรู้ในการปรับตัวเข้ากับที่อยู่ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันมันก็จะมีมุมมองต่อเราไปในทางเดียวกันกับค๊อกคาเทลตัวแรก

นกเลิฟเบิร์ด(Lovebird)


          ในช่วงแรกปี 1840 นกเลิฟเบิร์ด(Lovebird) เป็นนกสายพันธุ์เดียวกับนกแก้ว (Parrot) จึงมักเรียกว่าเป็น Little Parrot ตามประวัติแล้วชาวแอฟริกาเป็นผู้นำเลิฟเบิร์ด(Lovebird) เข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป และด้วยเอกลักษณ์ของนกชนิดนี้ก็คือ ชอบอยู่เป็นคู่ และจะดูแลกันและกันเป็นอย่างดี จึงเป็นที่มาของชื่อ "Lovebirds" นั่นเอง
          ต่อมานกเลิฟเบิร์ดก็แพร่ขยายไปทั่วทั้งในอเมริกาด้วยในศตวรรษที่ 60 เมื่อมีการแพร่ไปมาก จึงเกิดการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ Parrot ก็มีการเรียกชื่อใหม่ ว่าเป็นสายพันธุ์ Agapornis ต่อมา ในช่วงศตวรรษที่ 80 การเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ด มีจุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ได้สีสันใหม่ๆ ที่สวยงามขึ้น และเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ และมีการผสมกับนกสายพันธุ์อื่น ๆ อีกด้วยจนปัจจุบันนกเลิฟเบิร์ด ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงภายในครอบครัว และเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ 

          นกเลิฟเบิร์ด จัดเป็นนกแก้วชนิดหนึ่งที่มีตัวเล็ก มีหลายสายพันธุ์แยกได้เป็นทั้งหมด 9 ชนิด มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและหมู่เกาะมาดากัสการ์ มักอยู่รวมกันเป็นฝูง ปัจจุบันคนไทยได้นำนกชนิดนี้มาเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงามกันแพร่หลายและสามารถ เพาะขยายพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี, เลิฟเบิร์ดจัดเป็นนกที่มีเสน่ห์, ขี้เล่น จะอยู่กันเป็นคู่ ที่สำคัญ เป็นนกที่มีนิสัยรักเดียวใจเดียวและมีสีสันที่หลากหลาย ในวงการเลี้ยงนกต่างก็ทราบดีว่าเลิฟเบิร์ดขยายพันธุ์ได้ง่ายทำให้เกิดสีใหม่ ๆ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


           นกเลิฟเบิร์ด(Lovebirds) อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 15 - 20 ปี ประเทศไทยสามารถเพาะพันธ์นกได้ตลอดทั้งปี ที่เพาะขยายพันธุ์และนิยมเลี้ยงในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ มีขอบตาและไม่มีขอบตา แรกเริ่มจะมีสีอยู่ 2 กลุ่มคือ นกกลุ่มสีเขียวและนกกลุ่มสีฟ้า ปัจจุบันนกกลุ่มสีเขียวได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ไปจนกระทั่งเป็นนกสีเหลือง ส่วนสีบริเวณหน้านกจะเป็นสีแดงในช่วงแรกและถูกพัฒนาจนกระทั่ง เป็นหน้าสีส้ม ส่วนนกกลุ่มสีฟ้าจะถูกพัฒนาไปจนกระทั่งเป็นนกสีม่วงและสีหน้าของนกกลุ่มนี้ จากเดิมจะเป็นสี ได้ถูกพัฒนาพันธุ์เป็นนกหน้าขาว นกเลิฟเบิร์ดในแต่ละสายพันธุ์อาจจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป 

สายพันธุ์ต่างๆ ของนกเลิฟเบิร์ด

1. Peachfaced Lovebird
2. Masked Lovebird
3. Fischer Lovebird
4. Blackcheeked Lovebird
5. Nyasa Livebird
6. Madagascar Lovebird
7. Redfaced Lovebird
8. Abyssinian Lovebird
9. Swindern's Lovebird

การเลี้ยงดูและการขยายพันธุ์ นกเลิฟเบิร์ด
              สถานที่ที่ใช้เลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดควรเป็นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อบทึบ ป้องกันฝนได้ดี แดดสามารถส่องถึงบ้างเล็กน้อย จะเป็นการดี ส่วนลักษณะของกรงที่ดีควรจะ เป็นแบบโรงเรือน กรุด้วยตาข่ายตาถี่ เพื่อป้องกันยุงและแมลงอื่นๆ ภายในจัดวางกรงเพาะเป็นชั้น ๆ และเป็นแถวอย่างมีระเบียบ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการเรื่องความสะอาด
อุปกรณ์

1. กรงเพาะขนาด กว้าง x ยาว x สูง เท่ากับ 21" x 32" x 22"
2. รังฟักสำหรับให้นกเข้าไปวางไข่ และเลี้ยงดูลูกนกจนโต ขนาดโดยประมาณ 7" x 12" x 7" ด้านหนึ่งเจาะรู ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2" สำหรับเป็นทางเข้าออกของนก อีกด้าน ทำเป็นประตูสำหรับ ผู้เลี้ยงสามารถเปิดดู ไข่และลูกนกได้สะดวก
3. อาหารนก ได้แก่ เมล็ดธัญพืชต่างๆ เช่น มิลเลต ข้าวไรน์ ข้าวเปลือกมะเขือ ฮวยมั้ง (เมล็ดกัญชา) เมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ต เป็นต้น ส่วน อาหารเสริม ได้แก่ขนมปังแผ่น ข้าวโพดดิบ ส่วนแคลเซียมมี กระดองปลาหมึก หญ้าขน ใบกระถิน 2 อย่างหลัง สามารถให้ได้ทุกวัน ซึ่งจะดีต่อนกมาก
4. น้ำ ควรเป็นน้ำที่สะอาด จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกวัน และควรผสมวิตามินให้นกได้กินเป็นประจำด้วย

อาหารหลักของนกเลิฟเบิร์ด Lovebird  จะเป็น ธัญพืช เป็นหลักสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด เช่น มิลเล็ตขาว  เมล็ดปอ ข้าวไรท์ ข้าวโอ๊ต ข้าวเปลือก ทานตะวัน

นกหงส์หยก (Budgerigar)


          นกหงส์หยก (Budgerigar) เป็นนกที่มีเหล่าเดิมอยู่ที่ทวีปออสเตรเลียโดยเฉพาะในประเทศออสเตรเลียจะพบ เห็นนกพวกนี้อยู่กันเป็นฝูงใหญ่ ๆในแถบโซนร้อนของประเทศ ชาวออสเตรเลียเรียกนกหงส์หยก ว่า Budgie ( บั๊ดจี้ )ซึ่งเข้าใจว่าเป็นคำย่อมาจากคำว่า Budgerigar ( บั๊ดเจอริการ์ ) ที่เป็นภาษาพื้นเมืองของชาวออสเตรเลียนั่นเอง

           นกหงส์หยกเป็นนกที่อยู่ในป่าออสเตรเลีย เกาะกลุ่มอาศัยกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่มีสีเขียวอ่อน หรือ สีตองอ่อน มากกว่าสีอื่น ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มสีของนกดั้งเดิมต่อมาได้มีการผสมพันธุ์ได้สีอื่น ๆ แปลกตา เช่นกลุ่มสีฟ้า สีเทา สีม่วง ฯลฯ
นอกจากสีธรรมดาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีอีก 3 ชนิดที่ควรทราบคือ

          โอแพล์ลิน (Opaline) ชนิดสีนี้มิได้กล่าวเจาะจงว่าเป็นสีใดโดยเฉพาะ แต่จะมีลักษณะเป็น ที่สังเกตุดังนี้ บนคอ ใต้คอ และตรงขอบปีกติดกับไหล่จะไม่มีลายหรือจุด และจะต้องมีสีเหมือนกับ สีของลำตัว สีพื้นของปีก(มีลาย) ก็มีสีประมาณเป็นสีเดียวกับลำตัวเช่นเดียวกัน (นกชนิดธรรมดา ตัวเขียวจะมีหัวเหลือง ใต้คอเหลือง มัจุด 6 จุด และพื้นปีกก็เป็นสีเหลือง)

          เผือก อัลบิโนส์ (Albinos) ลักษณะที่สังเกตคือ สีตลอดตัวจะประมาณได้เป็นสีเดียว เริ่ม ตั้งแต่ขาวปลอดทั้งตัวหรือมีสีค่อนไปทางสีฟ้า

          ลูติโนส์ (Lutinos) เป็นนกที่มีสีเหลืองปลอด หรือมีสีค่อนไปทางเขียวทั้ง 2 ชนิด คือขาว และเหลืองนี้ ลักษณะสำคัญที่เห็นได้ชัดคือต้องมี นัยน์ตาสีแดง


          นกหงส์หยกป่าจะผสมพันธุ์ในช่วงฤดูที่มีเมล็ดหญ้าอาหารของมันขึ้นดกดื่น เมื่อฤดูผสมพันธุ์สิ้นสุดลงนกหงส์หยกจะบินมารวมกันเป็นฝูงใหญ่นับร้อยนับพัน ตัว แล้วเดินทางข้ามป่าหญ้าอันกว้างใหญ่ไปหากินยังแหล่งอื่นที่มีหญ้าอุดม สมบูรณ์ต่อไป
ประมาณปี ค.ศ. 1840 นกหงส์หยกป่าสีเขียวชุดแรกถูกนำไปเผยแพร่ในยุโรปรวมทั้งประเทศอังกฤษซึ้ง สมัยนั้นนกหงส์หยกสร้างความตื่นเต้นชื่นชอบในหมู่นักนิยมเลี้ยงนกชาวอังกฤษ เป็นอย่างมาก นกหงส์หยกที่ส่งไปขายที่อังกฤษถูกผสมพันธุ์แพร่หลายเป็นผลสำเร็จ และเผยแพร่ไปในประเทศยุโรปอื่น ๆ

          สำหรับประเทศไทยไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่านำเข้ามาปีไหน แต่เข้าใจว่าเป็นนกที่นำเข้ามาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งบ้านเราแบ่งออกเป็น 2 พันธุ์ใหญ่ ๆ คือ พันธุ์อังกฤษ ( ตัวใหญ่ ) และพันธุ์ฮอลแลนด์ ( ตัวเล็ก )
ลักษณะทั่วไป


          นกหงส์หยก เป็นนกที่มีขนาดเล็ก มีลวดลาย และสีสันที่สวยงาม และสามารถแยกออกเป็นหลายพันธุ์ในตระกูลเดียวกัน นกหงษ์หยกเป็นนกที่ชอบแต่งตัวและรักสะอาด ชอบแต่งขนหน้ากระจก เราควรมีกระจกให้แก่นกด้วย โดยให้กระจกเหมาะสมกับจำนวนของนก บางครั้งเราควรที่ใช้ฟร็อคกี้ หรือ ที่ฉีด ฉีดน้ำให้เป็นฟอยๆกระจาย นกจะมาเล่นน้ำเพื่อทำความสะอาดขน และก็จะแต่งขน ซึ่งจะทำให้นกมีขนที่สวยงาม

การดูเพศนก

          การดูเพศของนกนั้นไม่ยากเลย สามารถที่จะสังเกตได้ ไม่ยาก โดยดูที่จมูกของนก ในนกตัวผู้เมื่อเจริญเต็มที่หรือพร้อมที่จะผสมพันธุ์ จมูกนกจะเป็นสีฟ้าเข้ม และในนกตัวเมียนั้นจมูกของนกเมื่อเจริญเต็มที่หรือพร้อมที่จะผสมพันธุ์ จมูกของนกจะมีสีออกเป็นสีเนื้อหรือสีน้ำตาลเข้ม สีดังกล่าวจะ เข้มขึ้นเรื่อยๆเมื่ออยู่ในระยะผสมพันธุ์

          นกหงษ์หยกจะจับคู่เมื่อมันพร้อมที่จะผสมพันธุ์ โดยสังเกตได้จาก นกอยู่กันเป็นคู่ ไซร้ขนให้กัน จะคอยป้อนอาหารให้กัน


การเลี้ยงดู

          นกหงส์หยกสามารถเลี้ยงดูได้ง่าย ส่วนมากนิยมเลี้ยงกันในกรงขนาดใหญ่พอที่ นกสามารถบินได้ และต้องมีขนาดให้พอเหมาะกับจำนวนของนกด้วย ตำแหน่งการตั้งกรงนั้นไม่ควร ตั้งไว้ในที่ๆมีอากาศร้อน หรือที่มีลมโกรกมาก ควรไว้ในที่ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก อาหารและน้ำของต้องมีให้นกกินทุกวัน และควรเปลี่ยนอาหารและน้ำทุกวัน เพราะถ้าไม่เปลี่ยนอาจเป็นแหล่งเพราะโรค ของนกได้

          โดยธรรมชาติ นกหงส์หยกจะอยู่รวมกันเป็นฝูง ฉะนั้นถ้าเลี้ยงรวมในกรงใหญ่ เครื่องเล่นต่างๆอาจ ไม่จำเป็น แต่ถ้าเลี้ยงเพียงตัวเดียวหรือคู่เดียว เครื่องเล่นต่างๆก็ไม่อาจมองข้าม นอกจากอุปกรณ์เช่น ถ้วย หรือจานสำหรับใส่อาหาร น้ำ ผัก ทราย ที่ทุกกรงจะขาดไม่ได้และควรมี  Clofood (อาหารที่มีส่วนผสมของขนมปัง ไข่ และธาตุที่มีประโยชน์อื่นๆ)


อาหารของนกหงส์หยก

          ข้าวฟ้าง คืออาหารหลักของนกหงษ์หยก ซื้อได้ตามร้านค้าทั้วไปปัจจุบันอยู่ที่ ราคาประมาณ ถุงละ 20 บาท เป็นเมล็ดพืชเมล็ดเล็กๆ ควรซื้อแบบที่แบ่งขายใส่ถุง มากกว่า เพราะจะทำให้อาหารดูสด และป้องกันฝุ่นได้

          เมล็ดกวด แคลเซียม(กระดองปลาหมึก) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนกเลยทีเดียว จากประสบการณ์ของผู้เขียน คิดว่าสำคัญมากเพราะเมล็ดกวดหรือแคลเซียม(กระดองปลาหมึก)จะช่วยย่อยอาหาร ในลูกนกถ้าขาดของพวกนี้อาจจะมีอาการผิดปกติ ไม่แข็งแรง หรือตายได้ เมล็ดกรวด อาจจะนำมาจากทรายก็ได้แต่ควรล้างด้วยน้ำสะอาดเสียก่อน แคลเซียม(กระดองปลาหมึก) อาจจะหาซื้อได้ในร้านที่ขายนกร้านใหญ่ หรืออาจจะหาซื้อได้ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ราคาไม่หน้าแพงมาก ขายอยู่ที่ราคาประมาณ อันละ 5 บาทซึ่งมีขนาดใหญ่

          ผักใบเขียว เป็นตัวบำรุง นกที่สำคัญ เช่น กระหล่ำดอก คะน้า ผักกาดเขียว ผักบุ้ง เป็นต้น และต้องล้างให้สะอาดด้วยเพื่อป้องกันยาฆ่าแมลง

          น้ำ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่นกจะขาดไม่ได้เลย ควรเปลี่ยนน้ำทุกวัน เพราะถ้านกที่เป็นโรคขี้ลงไปอาจทำให้เป็นที่เพาะเชื้อโรค ถ้านกตัวอื่นกินเข้าไปอาจพากันติดกันหมดทั้งกรงได้

วีธีการเลือกซื้อนกกระตั้ว



         กระตั้วเป็นนกต้องการดูแลความดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี การที่จะเลี้ยงนกกระตั้วเราต้องใช้เวลาทั้งหมดดูแลในแต่ละวันประมาณครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชม. อย่างต่ำที่จะให้เวลาเค้า ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารหรือการทำความสะอาดภาชนะใส่อาหาร และกรงของเค้า รวมถึงการปัดฝุ่นขนของนกกระตั้ว

          นอกจากนั้นแล้วเสียงร้องของนกกระตั้วที่ดังมากซึ่งสามารถนำมาซึ่งความยุ่งยากให้แก่เจ้าของได้ไม่ว่าจะเป็นการรบกวนคนในบ้านเราที่อาศัยร่วมกัน หรือข้างบ้าน ซึ่งเสียงร้องของนกกระตั่วนั้นสามารถไปรบกวนได้ ยิ่งถ้าพักอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ หรือคอนโด ควรดูกฏการเลี้ยงสัตว์ของคอนโดหรือในอพาร์ตเมนต์ให้ดีๆ ว่าเค้าอนุญาติให้เราเลี้ยงได้ไหม หรือควรปรึกษาเพื่อนบ้านก่อนที่จะนำนกกระตั้วมาเลี้ยง เพราะนกกระตั้วบางตัวชอบส่งเสียงร้องในเวลากลางคืนด้วย 

         ราคาของลูกนกกระตั้วนั้นจะอยู่ราวๆประมาณ 15,000 ขึ้นไป รวมไปถึงค่าอาหารและค่ายา ตลอดจนอุปกรณ์ที่กรง คอนและอื่นๆ ถ้าแนะนำไม่ควรจะซื้อลูกนกกระตั้ว ที่ยังไม่เจริญเติบโตที่มาเลี้ยงเอง นอกเสียจากว่าจะมีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกนกมาก่อน เพราะป้อนลูกนกกระตั้วไม่เป็นอาจเกิดอันตรายต่อลูกนกกระตั้วได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ป้อนไม่ละลาย หรือไม่อุ่น หรือสลิ้งติดคอ 

         ควรเลือกซื้อนกกระตั้วจากร้านขายสัตว์เลี้ยงหรือฟาร์มผู้เพาะพันธุ์ ควรหาซื้อนกกระตั้วจากร้านหรือฟาร์มผู้เพาะพันธุ์ที่เชื่อถือได้ถ้าจะซื้อในเว็บไซต์ควรตรวจเช็ครายละเอียดของผู้ขายให้ดี ไม่ควรโอนเงินไปโดยไม่ศึกษาคนขายให้ละเอียด เพราะถ้าซื้อกับร้านขายที่น่าเชื่อถือถือฟาร์มที่น่าเชื่อถือจะทำให้ได้ลูกนกที่มีสุขภาพดีและจะได้รับคำแนะนำที่ดีในการเลี้ยงดูลูกนกด้วย 

การเลือกนกกระตั้วที่มีสุขภาพดี


          ดูกรงที่เลี้ยง สภาพกรงหรือสถานที่เลี้ยงนก เช่น ถ้วยใส่อาหารที่บูดเน่า น้ำที่ให้นกสกปรก จะบ่งบอกให้เห็นถึงการดูแลเอาใจใส่ของคนขายนก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ อารมณ์ ตลอดจนอุปนิสัยของลูกนกกระตั้วได้

          ดูรูปร่างนก ผู้เลือกซื้อสามารถสังเกตนกกระตั้วได้จากขนที่ขึ้นแล้วของนกว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างไร จะต้องมีขนค่อนข้างสะอาด มีผงแป้งเกาะอยู่ที่ขน โพรงจมูกต้องแห้งและสะอาด หากขนของนกยังไม่ขึ้น ให้สังเกตเดือยแหลมของนก นอกจากนี้สามารถสังเกตได้จากตาและจงอยปากของลูกนก โดยตาต้องกลมโตและตาต้องไปแฉะและไม่มีรอยฉีกขาดและมีสีดำ ส่วนจงอยปากนั้นต้องนิ่มและมีความยืดหยุ่น นกที่มีอาการเจ็บป่วยสามารถสังเกตได้ง่าย โดยนกมีอาการง่วงซึม หลับตลอดเวลาด้วยการยืนสองขา ซึ่งนกสุขภาพดีจะยืนขาเดียวในขณะนอนหลับ

          ดูขี้นก นกกระตั้วที่มีสุขภาพดีนั้นจะต้องถ่ายออกมาเป็นสีเขียวและสีขาว ถ้าขี้นกมีลักษณะเป็นเหลวๆและมีสีแตกต่างกันหรือขี้ออกเป็นเลือด แสดงนกกระตั้วตัวนั้นมีอาการไม่ปกติอาจเป็นเพราะนกป่วย

การดูแลนกกระตั้ว


            อาบน้ำ ในกรงต้องมีอ่างน้ำ หรือจะต้องมีการอาบน้ำให้นกกระตั้วอย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้นกกระตั้วได้กำจัดผงแป้งที่เกาะอยู่ตามขน การอาบน้ำนั้นจะทำให้นกมีความสุข นกจะแสดงออกโดยการส่งเสียงร้องและกางปีกออกเพื่อจะได้เข้าใกล้ละอองน้ำ และควรทำในตอนเช้าเพื่อขนของนกจะได้แห้งเร็วขึ้น เมื่ออาบเสร็จควรเอาไปยืนคอนอาบแดด 

            ควรล้างภาชนะใส่อาหารและน้ำ ด้วยน้ำร้อน ดูดฝุ่น เศษดิน และผงแป้งที่นกผลิตออกมาทุกวัน

            ทำความสะอาดถาดรองและเปลี่ยนกระดาษหนังสือพิมพ์เมื่อเห็นสมควรอาจจะ 2 วันครั้งหรือ 4 วันครั้ง แล้วแต่เห็นสมควร

              ควรขัดล้างกรงทุกๆเดือน

ซันคอนัวร์


          ซันคอนัวร์ Sun conure เป็นนกปากขอขนาดกลาง มีความยางจากหัวไปถึงหางประมาณ 30 เซ็นติเมตร น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม มีถิ่นกำเหนิดแถบอเมริกากลาง และอเมริกาไต้ พบมากในป่าของประเทศกิอานาและบางส่วนของประเทศบาซิลทั้งนี้ คำว่า conure (คอนัวร์) มาจากคำว่า Conurus (คอนูรัส) นกคอนัวร์ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Aratinga (อาราทิงก้า) นกคอนัวร์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Aratinga และ Pyrrhura

          Aratinga จะมีสีสันสดใส เช่น สีเขียว สีแดง ที่ดูมีชีวิตชีวา ได้แก่ สายพันธุ์ ซันคอนัวร์(Sun conure) บลูคราวน์(Blue-crowned conure) เจนเดย์(Jenday conure)

          Pyrrhura จะมีสีสันที่เข้มขึ้น เช่น สีเขียวแก่ น้ำตาลเข้ม และ Aratinga จะไม่มีสีอ่อน ๆ ที่ขึ้นอยู่ตามอกหรือคอ และแก้มอย่าง Pyrrhura ได้แก่ สายพันธุ์ แบล็คแค็พ (Black-capped conure) เพ้นท์เท็ด (Painted conure)


          ซันคอนัวส์ เป็นนกที่มีนิสัยขี้เล่น ซุกซน และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นนกที่เข้ากับคนได้ดี สามารถนำมาฝึกให้เชื่องได้โดยเฉพาะถ้าเริ่มเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ เป็นนกที่เข้าใจภาษาคนได้ดี เสียงร้องค่อนข้างดังและต่อเนื่อง
นิสัยเรียกร้องความสนใจ เมื่อ นกคอนัวร์ รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้วในตอนเช้าเมื่อคุณตื่นแล้วคุณอาจได้ยินเสียงพองขน เล่นของเล่น หรือเสียงบ่นเบาๆ มาจากกรงของเจ้าคอนัวร์

          การอาบน้ำ นกคอนัวร์ รักการอาบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ เราควรอาบให้นกตอนเช้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อให้ขนแห้งได้ทันเวลาที่นกจะเข้านอน

          การขบฟัน นกคอนัวร์ จะขบฟันช่วงที่มันใกล้จะหลับ การขบฟันในนกถือเป็นเรื่องธรรมชาติของนก

          การเช็ดปาก หลังมื้ออาหารทุกมื้อ นกคอนัวร์ จะเช็ดปากของมันกับคอนที่มันเกาะ หรือแขนเสื้อของคุณขณะที่มันเกาะอยู่

          กายกรรมแบบนก ๆ กิริยาที่ นกคอนัวร์ ทำคล้ายกับการบิดขี้เกียจ ยืดแข้งยืดขา ซึ่งถือเป็นปกติธรรมดาของนก

          การกัด เป็นการแสดงสัญชาตญาณการอยู่ร่วมกันของ นกคอนัวร์ ที่อาศัยอยู่ในป่า การกัดของมันตามลำพังแสดงว่ามันกำลังทดสอบสิ่งรอบ ๆ ตัวของมันอยู่

          การนอนกลางวัน การนอนกลางวันเป็นการงีบหลับ นกคอนัวร์ จะงีบหลับไปบ้าง ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงส่อไปทางเจ็บป่วย ก็ไม่ต้องกังวลกับการงีบหลับของนก

          การเคี้ยว นกคอนัวร์ ชอบที่จะขบเคี้ยว กัดแทะ สิ่งต่างๆรอบตัวเสมอ ซึ่งผู้เลี้ยงต้องมีของเล่นให้นกได้เคี้ยวตลอดเวลา

          การจ้องมองของนก เมื่อ นกคอนัวร์ เห็นอะไรที่ทำให้เกิดความตื่นเต้นหรือสนใจ รูม่านตาของมันจะเบิกกว้างและหดตัวขึ้นและลง

          การพองขน เป็นการคลายความตึงเครียดของ นกคอนัวร์ แต่ถ้ามันพองขนตลอดเวลานั้นอาจเป็นสัญญาณเตือนได้ว่านกกำลังเจ็บป่วย

          การไซร้ขนให้กันและกัน เป็นนิสัยของ นกคอนัวร์ ที่จะทำให้คู่ของมันหรือเพื่อนนกที่สนิทกันเท่านั้น

          การจับคู่ นกจะจับคู่กันไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือไม่ มันจะไซร้ขนให้กัน เลียนแบบท่าทางของคู่มันตลอดเวลา

          ความรู้สึกเป็นเจ้าของ จะแสดงออกถึงการหวงเจ้าของมัน มันมักจะกัด และ ขู่ตัวอื่น

          การไซร้ขน เป็นกิจวัตรประจำของมันซึ่งจะทำร่วมกับการพองขน และมีการจิกขนตัวเองในช่วงนี้สำหรับฤดูผลัดขน

          การสำรอกอาหาร กิริยาของนกที่จ้องบางอย่างแล้วขณะเดียวกันก็ผงกหัวด้วย นั้นคือมันจะสำรอกอาหารให้กับคู่หรือลูกของมัน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความรักอันยิ่งใหญ่

          การยืนพักขาเดียว การที่นกยืนขาเดียวถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าคุณเห็นนกยืน 2 ขา ตลอดเวลา คุณควรจะนำนกไปหาสัตวแพทย์เพราะอาการดังกล่าวเป็นสัญญาณของสุขภาพที่ไม่แข็งแรง

          การกรีดร้อง นกคอนัวร์ จัดว่าเป็นนกที่มีเสียงดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนกรู้สึกว่ามันถูกทอดทิ้งและเจ้าของไม่มีเวลาให้นกจะยิ่งส่งเสียงร้อง บางครั้ง นกคอนัวร์ ก็ถือเป็นนกขี้เหงาและต้องการให้เจ้าของให้ความมั่นใจกับมันว่ามันไม่ได้อยู่ตัวเดียว นกคอนัวร์จะร้องส่งเสียงเพื่อที่จะดูว่าคนในบ้านไปไหนกันหมดทิ้งมันไว้ตัวเดียวหรือเปล่า เจ้าของสามารถให้ความมั่นใจกับนกได้โดยการขานรับ บางขณะนกจะร้องเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างในสภาพแวดล้อมทำให้มันตกใจกลัว ในกรณีนี้คุณจำเป็นต้องใช้เวลากับนกและลดความกลัวในตัวนกลง นกจะส่งเสียงกรีดร้องตามสัญชาติญาณเพื่อปกป้องฝูงของมันด้วย เมื่อนกรู้สึกเหนื่อยจะมีอาการหงุดหงิด และบางครั้งจะส่งเสียงร้องกรณีนี้เราควรจะคลุมกรงของมัน เพื่อให้มันสงบลงและปรับตัวเพื่อจะเข้านอนเร็วขึ้น


          การนอน นกคอนัวร์ มักจะชอบมุดไปขดตัวนอนอยู่ใต้ผ้าหรือเศษไม้ที่เราใส่ไว้ในกล่องนอน และบางครั้งมันก็จะนอนหงายหลับไปในถ้วยอาหาร เพื่อให้นกได้พักผ่อนอย่างสบาย ควรหาเศษผ้าหรือตุ๊กตานุ่ม ๆ มาใส่ไว้ให้นก การนอนหงายในลักษณะเท้าชี้ฟ้าถือเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับคอนัวร์และก็เป็นท่าที่แสนสบายสำหรับมันด้วย

          การจาม การจามในนกมาจากสองสาเหตุ สาเหตุแรกคือ การจามเพื่อให้จมูกโล่ง บางครั้งมันยังจะใช้นิ้วใส่เข้าไปในรูจมูก เพื่อให้เกิดอาการระคายเคืองและจามออกมา จามแบบที่สอง เนื่องมาจากนกเป็นหวัดในกรณีนี้การจามในแต่ละครั้งจะมีน้ำมูกและทำให้รูจมูกเปียก ถ้านกเป็นในกรณีที่สองนี้ควรนำนกเข้าพบสัตวแพทย์ทันที

          ความเครียด ความเครียดนกจะมีอาการตัวสั่น ท้องร่วงหายใจเร็วสั่นหางและปีก จิกขนตัวเอง นอนไม่หลับ และไม่เจริญอาหาร นกในตระกูลนกปากขอชอบที่จะมีกิจวัตรประจำวันและไม่ชอบการเปลื่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลื่ยนแปลงในบรรยากาศรอบตัวหรือตารางเวลาของการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องเปลื่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างควรจะพูดกับนกของคุณก่อนอาจจะฟังดูเหมือนบ้าแต่การกระทำดังกล่าวจะช่วยให้นกไม่เกิดความเครียดจนเกินไป


          การลิ้มลองของ นกคอนัวร์ จะสำรวจสิ่งรอบๆ ตัวด้วยปากมากพอ ๆ กับที่เราใช้มือ และไม่ต้องแปลกใจถ้านกของคุณจะใช้ปากและลิ้นกัดดูที่มือของคุณก่อนที่จะปีนขึ้นมาเกาะในครั้งแรก นกไม่ได้ตั้งใจที่จะกัดคุณแต่มันกำลังสำรวจ
การใช้เสียง นกในตระกูลนกปากขอ โดยส่วนใหญ่จะส่งเสียงร้องช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและตกของทุก ๆ วัน
การหาว ผู้เชี่ยวชาญบางคนอาจเชื่อว่านกขาดออกซิเจนในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกคนกล่าวว่านกแค่หาวและบิดขี้เกียจ บริหารกล้ามเนื้อเท่านั้น ในกรณีที่คุณไม่เห็นว่านกมีท่าทางไม่สบาย (อาเจียน สำรอกอาหาร) คุณก็คงไม่ต้องเป็นห่วงจนเกินไป
ซันคอนัวร์ เมื่ออายุประมาณ 2 ปี่ ก็เข้าจะเริ่มสู่วัยเจริญพันธุ์ ออกไข่ครังละ 2-5 ฟอง สามารถให้ผลผลิตได้ปีละ 3-4 ครอก(บางคู่อาจได้ถึ 5 ครอก) ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 23-25 วัน การเลือกนกที่จะนำมาทำพ่อแม่พันธุ์ ต้องเลือกนกที่สมบูรณ์ แข็งแรง มีการตื่นตัวกับสิ่งเร้ารอบข้างอยู่ตลอดเวลา การแยกเพศของนกทำได้โดยการเจาเะเลือดเพื่อนำไปตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งให้ผลค่อนข้างแม่นยำ มีการผิดพลาดน้อยกว่าการดูจากลักษณะภายนอกและการจับตะเกียบ ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดค่อนข้างสูง

          สำหรับนกโตเต็มวัยควรได้รับอาหาร 3 ประเภทหลักๆ คือ ผัก และผลไม้ ถั่วต่าง ๆ และเมล็ดพืช ในอัตราส่วนใกล้เคียงกันเป็นประจำทุกวัน โดยถั่วที่ให้นกกินควรเป็นถั่วต้มสุก ร่วมกับการให้วิตามิน และแร่ธาตุสำหรับนก ไม่ควรให้นกกินเฉพาะเมล็ดพืช เนื่องจากนกจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนอาหารหลักที่ให้
สรุปอาหารซันคอนัวร์ คือเมล็ดธัญพืชชนิดต่างๆ เช่นเมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ด ข้าวไรน์ มิลเล็ต เมล็ดปอ ๆลๆ แล้วเสริมด้วยผลไม้หลากหลายชนิดผลัดเปลียนกันไปตามโอกาส เช่น ข้าวโพดสด ฝรั่ง แอปเป็ล แครอท กล้วยน้ำหว้าสุก ฯลฯ ที่ต้องให้เมล็ดธัญพื่ชและผลไม้หลายๆอย่าง เพราะจะทำให้นกได้รับสารอาหารครบถ้วนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย กระดองปลาหมึก เปลือกหอยป่น ก็นับเป็นสิ่งสำคัญ ควรนำมาให้นกได้จิกแทะกิน เพื่อเป็นการคลายเครียด และยังทำให้นกยังได้รับแร่ธาตุที่สำคัญอีกด้วย
กรงสำหรับเลี้ยงซันคอนัวร์เพื่อการเพาะพันธุ์ ควรมีความยาวของกรงประมาณ 120-150 เซนติเมตร ความกว้างและความสูงประมาณ 70-100 เซนติเมตร ต้องเป็นกรงที่มีความแข็งแรงพอประมาณ ขนาดของลวดที่ใช้ทำกรงต้องมีขนาดใหญ่(ขนาดลวดเบอร์ 13 เป็นอย่างน้อย) ขนาดความถี่ของซี่ลวดต้องมีความเหมาะสม คือถ้าเลี้ยงในโรงเรือนที่มีตาข่ายล้อมรอบ ก็สามารถใช้กรงที่มีซี่ห่างๆได้ เช่น 1*2 นี้ว หรือ 1*1.5 นิ้ว แต่ถ้าเป็นการเลี้ยงภายนอกโรงเรือน กรงที่ใช้เลี้ยงต้องสามารถป้องกันหนูและงูที่จะเข้าไปทำร้ายนกที่เราเลี้ยงได้ คือเราต้องใช้กรงที่มีซี่ลวดถี่ๆนั้นเอง และควรจะมีลิ้นชักสำหรับให้อาหารนกเพื่อป้องกันไม่ไห้นกหลุด หรือบินสวนออกมาในขณะที่เรากำลังให้อาหารด้วย


          กรงที่ใช้เลี้ยงควรติดตั้งคอนที่ทำด้วยไม้หรือวัสดุอื่นจำนวน 2 อัน ควรติดตั้งไว้ที่ระดับสูงบริเวณปากทางเข้ากล่องไข่ 1 อัน และไว้ที่ระดับต่ำ 1 อัน เพื่อให้นกสามารถกระโดดไปกระโดดมาได้อย่างสะดวก
การเลี้ยงนกที่จะนำมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เมล็ดธัญพืช ผักสด ผลไม้ วิตมิน และแร่ธาตุ ต้องจัดให้อย่างต่อเนื่องอย่าให้ขาด เพื่อให้นกมีความสมบูรณ์ แข็งแรงมากที่สุด เพื่อนำไปสู่การสร้างผลผลิตที่ดี
การเข้าคู่ของนกที่จะนำมาทำเป็นพ่อแม่พันธุ์ เราจะสังเกตุจากพฤติกรรมต่างๆของนก เช่นการป้อนปาก แต่งขนไซร์ขนให้กัน เริ่มเข้าออกกล่องไข่และคุ้ยกล่องใข่เพื่อตกแต่งแป็นรังไข่ แม่นกจะเริ่มออกไข่หลังจากได้รับการผสมพันธุ์ประมาณ 1-2 อาทิตย์ ก่อนการออกไข่นกจะเริ่มมีอาการดุขึ้น แสดงอาการหวงกล่องไข่เมื่อเราเข้าใกล้ นกตัวเมียกินอาหารเก่งขึ้น ขนาดร่างกายดูอ้วนและสมบูรณ์ขึ้น ท้องจะห้อยหรือย้อยจนสังเกตุเห็นได้ชัด นกซันคอนัวร์จะออกไข่วันเว้นวัน จำนวนครอกละ 2-5 ฟอง ระยะเวลาการกกไข่ 23-25 วัน ลูกนกจึงจะเริ่มออกจากไข่ ช่วงระยะเวลาทีนกเริ่มออกไข่ กกไข่ และช่วงลูกนกออกจากไข่ใหม่ๆ ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงการเปิดกล่องไข่โดยไม่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ไห้พ่อแม่นกเกิดความหวาดระแวง หรือตื่นตกใจ จนนำไปสู่การเหยียบไข่ การทำลายไข่ หรือการทำร้ายลูกนกได้


          เมื่อลูกนกเกิด ควรปล่อยให้พ่อแม่นกเลี้ยงลูกนกไปสักระยะหนึ่งก่อน แต่จะนานแค่ไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนของลูกนกที่เกิดมา และความเก่งหรือความขยันของพ่อแม่นกในการเลี้ยงดูลูกนก พ่อแม่นกแต่ละคู่จะเลี้ยงลูกนกไม่เหมือนกัน บางคู่เลี้ยงลูกได้ 4 ตัวสมบูรณ์ดีทั้ง 4 ตัว แต่บางคู่เลี้ยงลูกโตและสมบูรณ์แค่ 1 หรือ 2 ตัวแรก ตัวที่ 3-4 แคระแกรน และบางคู่ไม่ยอมเลี้ยงลูกเลยก้อมี สิ่งต่างเหล่านี้ผู้เลี้ยงจะต้องเอาใจใส่และจดจำให้ได้ว่านกของท่านเป็นอย่างไร และจะจัดการอย่างไรที่จะทำให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด แต่สำหรับผู้เขียนเอง จะปล่อยให้พ่อแม่นกเลี้ยงลูกตัวแรกประมาณ 7 วันจึงค่อยนำลูกตัวแรกหรือตัวที่โตสุดออกมาเลี้ยง(ป้อน)แทนพ่อแม่ จากนั้นอีก 3-4 วันจะเอาลูกนกตัวที 2 ออก และต่อจากเอาตัวที่สองออกได้ 3-4 วันจึงเอาตัวที่ 3 ออก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดลูกนกในกล่องไข่ สาเหตุที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะเหตุผล 3 ประการคือ

1. ป้องกันไม่ให้ลูกนกที่ตัวใหญ่เบียดทับลูกนกตัวเล็กๆ จนเกิดความเสียหาย
2. ไม่อยากให้พ่อแม่นกเลี้ยงลูกหลายตัวนานเกินไป จนเป็นเหตุให้พ่อแม่นกทรุดโทรม
3. พ่อแม่นกเลี้ยงลูกใช้ระยะเวลาน้อยเท่าไหร ก็จะสามารถให้ผลผลิตครั้งต่อไปเร็วขึ้น


          หลังจากที่เอาลูกนกออกจากกล่องไข่เพื่่อนำมาเลี้ยง(ป้อน)เอง จนหมดจากกล่องไข่แล้ว ผู้เลี้ยงต้องทำความสะอาดกล่องไข่ เปลี่ยนวัสดุรองรัง(ถ้าเป็นไปได้นำกล่องไข่ไปตากแดดด้วยก็ดี) ต่อจากนั้นก็ให้น้ำ ให้อาหาร ให้วิตมินและแร่ธาตุ และคอยดูแลเอาใจใส่นกของท่านอย่างสม่ำเสมอ อีกไม่นานนกของท่านก็จะออกไข่หรือให้ผลผลิตออกมาให้ท่านเชยชมอีกครั้ง
แก้ไขข้อความ